วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Shoben Tangotei

Honzenji-Yokocho คือ ตรอกที่มีร้านอาหารเรียงรายสองข้างทางเป็นตรอกเล็กๆ ข้างวัดHozenji ด้วยความที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะต้องไปตามหาวัดHonzenji ให้เจอสำหรับการไปเที่ยวOsakaครั้งนี้ ดังนั้นก็เลยหาข้อมูลร้านอาหารไว้ด้วยก็คงจะดี ถึงเวลาจะได้ไม่สับสนเลือกร้านไม่ถูก^^


ร้านShoben Tangotei เปิดบริการมาตั้งแต่ปีคศ.1893 ดูจากปีที่เปิดจนถึงตอนนี้ก็นานมาก ร้านที่เปิดมานานแบบนี้ย่อมต้องมีอะไรดีๆซ่อนอยู่เป็นแน่ ก็เลยปักหมุดร้านนี้ไว้เลยละกัน 


ร้านอาหารในตรอกHonzenji-Yokocho จะเปิดบริการช่วงเย็น ราวๆ 16:00 น. ก็เริ่มทยอยเปิดกันล่ะ บรรยากาศในตรอกก็ดูสงบให้ความรู้สึกแบบญี่ปุ่นมากผิดกับช่วงเวลากลางวันที่แวะมาก่อนหน้านี้แล้ว

ร้านShoben Tangotei มีเมนูขึ้นชื่อ คือ Mizo-Oden เพียงแค่เห็นชื่อเมนูพื้นๆอย่างOden ก็ยังชวนให้รู้สึกสนใจ และใคร่อยากเห็นหน้าตา และอยากชิมรสชาติว่า Mizo-Odenจะเป็นอย่างไรกันนะ

เรามาถึงร้านในช่วงราวๆ 18:00 น. จดชื่อมา แต่กลับไม่ได้เอารูปหน้าร้าน หรือจำหน้าตาร้านมาด้วย คิดว่าน่าจะมีชื่ออังกฤษอยู่นะ แต่ปรากฎว่าไม่มี กว่าจะเจอร้านได้ก็มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ได้เขียนเล่าไว้ในนี้แล้ว http://moovlife.blogspot.com/2014/03/blog-post.html



เมนูของร้านมีรูปเล่มที่น่าสนใจมาก ดูญี่ปุ่นแบบโบราณๆดี เปิดออกมาข้างในก็จะมีรายการอาหาร แต่ทว่า... ภาษาญี่ปุ่น แถมยังไม่มีรูปด้วย เอาล่ะซิ ทำไงดีเนี่ย ^^" 

กลั้นใจถามหาเมนูภาษาอังกฤษ !!!

                        


รอดตายล่ะงานนี้ มีเมนูอังกฤษแบบนี้ก็สบายหน่อย แม้ว่าจะมีบางเมนูที่ดูแล้วก็ไม่เข้าใจว่า คือ อะไร เพราะจะมีบางรายการใช้คำทับศัพท์ภาษาญี่ปุ่นก็ตาม แต่ดีกว่าไม่มีตั้งเยอะล่ะ MooV เลือกรายการอาหารจากประสบการณ์ผสมกับโชคชะตา วัดดวงกันหน่อยว่าจะได้เมนูหน้าตาแบบไหนมาชิมกัน ก็สนุกดีนะ ลุ้นๆดี ^^

มื้อนี้เราตั้งใจว่าจะลองสั่งรายการที่แปลกๆน่าสนใจมาชิม หลังจากมื้อ ก็มีรายการไปแก้มือกับMeoto Zenzai ร้านขนมบัวลอยที่ข้างวัดHozenji และต่อด้วยเครปหน้าตาแสนน่ากินที่ปากทางเข้าตรอก Honzenji-Yokocho ดังนั้นก็เลยพยายามไม่สั่งเมนูมากนักเพราะจะอิ่มเกินไป เดี๋ยวจะอดรายการต่อท้ายจากร้านนี้ที่ตั้งใจไว้ ^^

                        

ระหว่างรออาหาร... ก็สำรวจมองภายในร้านๆนี้เป็นร้านอาหารขนาดไม่ใหญ่นัก จะว่าไปMooV โชคดีที่ได้โต๊ะนั่ง เพราะเหลือว่างก็เพียงโต๊ะข้างๆMooVโต๊ะเดียว นอกนั้นมีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะ ไม่นานนักอาหารก็ยกมาเสริฟล่ะ ^^

เมนูร้านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารว่าง กับแกล้มเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ยกมาเสริฟนั้นแต่ละจานตบแต่งจานสวยงามให้ความรู้สึกน่าสนใจมาก รูปแบบสไตล์ญี่ปุ่นแต่แฝงความทันสมัยแบบโมเดิร์ทไว้อย่างลงตัว 

เมนูแรก: เต้าหู้เย็นและไข่ปลาแซลมอนกินคู่กับวาซาบิและซอสพิเศษสูตรทางร้าน จานนี้ให้รสสัมผัสนุ่มละมุน ได้กลิ่นหอมของเต้าหู้สด และสาหร่ายที่เสริมรสเข้มขึ้นด้วยไข่ปลาแซลมอนสด, วาซาบิและซอสสูตรพิเศษ 



Mackerel with bean curd lees: ปลาMackerelหมักน้ำส้ม ให้รสเปรี้ยวอ่อนๆ เมนูนี้สั่งมาเพราะความอยากรู้ว่า bean curd lees คือ อะไร (ใครรู้บ้าง ^^) เมนูนี้น่าจะเข้ากันดีกับสาเก สำหรับคนที่ชอบดื่ม... ^^




Mizo-Oden: เมนูเด่นประจำร้าน มิโซะแดงกับโอเด้งรวมที่ประกอบด้วยเต้าหู้ (ซึ่งที่ญี่ปุ่นเต้าหูอร่อยอยู่แล้วล่ะ) ก้อนบุก, เผือก และพริกย่าง ให้รสชาติแปลกใหม่ดี สำหรับจานนี้ มิโซะเห็นสีเข้มจัดจ้าน แต่กลับให้รสชาติที่หอมและนุ่มนวลมาก


Yuba-Tofu : ปกติชอบอยู่แล้วกลิ่นจากผลYusu และบรรดาเมนูที่ทำจากเต้าหู้ ดังนั้นรสชาติจานนี้ถูกใจมากๆ ^^ รสสัมผัสที่นุ่มนวล แผงความหนึบหนับนิดๆของฟองเต้าหู้สด กับซอสที่มีส่วนผสมจากผลYusu ที่ปรุงรสแต่งกลิ่นได้อย่างลงตัว เมนูนี้ให้ความรื่นรมย์มากๆ




เทมปุระรวม: มาเที่ยวนี้อยากลองเทมปุระทุกร้านเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ^^ และร้านนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แป้งกรอบนุ่ม กับความกรุบกรอบจากเนื้อกุ้งที่สด และหวาน จานนี้อาจจะดูเป็นเมนูพื้นๆเป็นที่รู้จักกันทั่วไป แต่จะทำให้เป็นเมนูที่โดนเด่นและอร่อยมากนั้น ไม่ง่ายนัก... ^^



Seaweed and rice in green tea: เมนูเรียบง่าย ข้าวราดน้ำชากับสาหร่ายทะเล รสซุปหวานหอม เป็นเมนูตบท้ายที่ทำให้รู้สึกสดชื่นดี^^



จบมื้อก็อิ่มกำลังดี... ^^

สำหรับมื้อนี้ เป็นมื้อที่ให้ความรู้สึกที่ชื่นมื่นมาก ด้วยรสชาติอาหารที่ดี, บรรยกาศในร้าน และพนักงานที่เต็มใจให้บริการ ดูแลเราเป็นอย่างดีตลอดมื้อ ทำให้เป็นมื้อที่ประทับใจ และมีความสุขมากเมื่อจากมา... 










Kyoto ในวันหนาวๆ


ติดใจตลาดนิชิกิ จากการไปเที่ยวเมื่อคราวก่อน เมื่อวางแผนจะไปญี่ปุ่นอีกครั้ง เมืองเกียวโตจึงอยู่ในแผนการเดินทาง ^^ ผู้คนส่วนมากไปเกียวโตต้องไปวัด แต่สำหรับเราๆไปเพื่อไปตลาด...

ตลาดนิชิกิ คือ ครัวของเกียวโต ตลาดนี้มีขนาดไม่ใหญ่ แต่ ให้ความรู้สึกที่ตื่นตาตื่นใจมาก แต่สิ่งที่กำลังจะบอกเล่าเป็นเรื่องของขนมหวาน และร้านอาหารอาหารน่ารักๆแห่งหนึ่ง ^^

วันที่ไปตลาดนิชิกิ เป็นวันที่อากาศหนาวมากๆ สายลมแรงๆก็ยิ่งพัดความเย็นที่จับจิตจับใจ หลังจากที่ได้เดินเที่ยวตลาดอย่างจุใจแล้ว ก็เลยหาร้านนั่งพักขา และหาไออุ่น ^^

ร้านที่เราเลือกเป็นร้านที่อยู่ข้างๆทางเข้าตลาด ร้านนี้ตกแต่งสวยน่ารักมาก เมื่อเปิดประตูเข้าไปพบว่าภายในร้านมีบรรยากาศที่ดีสวยงาม เราสั่งชาร้อน และขนม ซึ่งเมื่อมาญี่ปุ่นก็อยากจะชิมเมนูที่เป็นขนมญี่ปุ่น และร้านนี้มีถั่วแดงร้อนที่น่าจะให้ความอบอุ่นได้ดีอีกด้วย

เมื่อถั่วแดงร้อนยกมาเสริฟในถ้วยทรงกลมๆ ดูน่ารัก ^^ ในถ้วยมีถั่วแดงร้อนใส่โมจิที่นำไปย่างก่อน ทำให้ได้กลิ่นหอมๆเพิ่มขึ้นอีก
รสชาติของขนมถ้วยนี้ได้สัมผัสที่เนียนนุ่ม ถั่วแดงกวนมาอย่างดีและรสไม่หวานจัด ขนมถ้วยนี้นอกจากอร่อยแล้วยังสร้างความรู้สึกที่ประทับใจได้อีก ^^




นี่หากว่า เป็นช่วงใกล้เวลามื้อเย็นละก้อ เราอาจจะสั่งเมนูอาหารต่อเป็นมื้อเย็นแบบจัดเต็มเลยก็เป็นได้ เพราะร้านนี้ช่างน่ารักซะจริงๆ




แต่ในที่สุด เราก็ตัดใจอำลา เดินทางกลับตามแผนเดิม เราหวังว่าจะมีโอกาสกลับมา และได้ลิ้มลองอาหารของร้านนี้อีกครั้งหนึ่ง


วาราบิ โมจิ

Tenjinbashi

ก่อนไปOsaka คราวนี้ เราตั้งใจว่าจะอยากไปเดินชมดูตลาดที่คนท้องถิ่นไปเดินจับจ่ายกัน จึงทำให้ต้องหาข้อมูล และก็พยายามจดจำชื่อ สถานที่เวลาที่ดูรายการทีวีญี่ปุ่นที่พาไปตระเวณกินของอร่อยย่านคันไซ ซึ่งก็เป็นรายการทีีวีที่ทางทรูวิชั่นนำมาฉายให้ชมกันเป็นประจำและในวันหนึ่ง ชื่อ Tenjinbashi ก็ลอยเข้าหูมาพร้อมๆกับการนำเสนอภาพจากรายการดังกล่าว ซึ่งแนะนำร้านค้าย่านนี้กับร้านที่นำของใช้มือสองมาออกแบบและผลิตเครื่องใช้ใหม่ บรรยากาศย่านนี้ดูเก่าโบราณดีจัง ดูเป็นย่านที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว และยังคงเสน่ห์แบบบ้านๆของOsaka กระมั้ง ก็เลยลองค้นหาข้อมูลเพื่อจะได้ไปเดินเที่ยวเล่น^^

วันที่ไปถึง เมื่อขึ้นมาจากสถานีรถไฟแบบงงๆทิศ เพราะเป็นตรอกเล็กๆแคบๆ แต่ก็ตัดสินใจเลือกเดินออกมา และโชคดีที่พอพ้นตรอกก็เจอถนนคนเดินที่ดูคุ้นเคยตามสไตล์ย่านการค้าแบบญี่ปุ่น


แต่ก็ต้องเลือกว่าจะไปทางซ้าย หรือขวาดี สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเดินออกจากตรอกไปทางซ้ายมือ ในรูป คือ เราออกมาจากตรอกแล้วกลับหลังหันไปถ่ายรูป ตรอกเล็กๆที่เราเดินออกมาอยู่ขวามือ มีตู้กดน้ำเป็นสัญลักษณ์ ^^ นี่ถ้าเราเดินมาตามทาง เราก็คงไม่รู้ว่าในตรอกนี้จะมีทางเข้าออกสถานีJR เหมือนกัน (ถ้าไม่เหลือบเห็นว่ามีป้ายไฟพื้นขาวตัวอักษรสีน้ำเงินที่มีอักษร JR อยู่) จากตรงนี้เราก็เดินเทียวชมบรรยากาศอย่างตื่นตาตื่นใจ ^^ เดินไปเรื่อยๆ และได้พบร้านขายเครื่องใช้มือสองที่ว่าด้วย ร้านสวยดี มีของใช้ที่ออกแบบได้น่าสนใจมากมาย แต่ก็เก็บบันทึกมาแต่เพียงรูปหน้าร้านภาพนี้ เพราะไม่อยากจะบันทึกงานออกแบบ ถือเป็นการให้เกียรติศิลปินกับผลงาสร้างสรรค์นั้นละกันนะ ^^


เราเดินชมร้านค้าไปเรื่อยๆ สองข้างทางมีร้านค้าขายของ และร้านอาหาร บางร้านดูจะเป็นร้านเก่าๆที่อาจจะเคยปิดกิจการไปแล้ว แล้วมาซ่อมแซมตกแต่งเปิดกิจการใหม่ แต่ก็ดูเก๋ไก๋น่ารัก และสวยงามดีอย่างร้านนี้ ดูแล้วชอบจัง ^^


ตอนที่เดินๆไปก็สะดุดกับร้านที่ขายโมจิร้านหนึ่งที่มีโมจิก้อนสีขาวๆวางบนกะทะ ปกติจะไม่ค่อยได้พบเจอโมจิที่ทำแบบนี้เท่าไหร่นัก และเคยกินโมจิย่างหน้าตาคล้ายๆกันมาก่อนนานแล้ว ก็เลยสนใจชวนคนข้างๆว่าชิมไหมๆ และเมื่อเราสั่งแล้ว คนขายก็คีบโมจิก้อนขาวๆที่วางรวมกันด้านหนึ่งแยกออกมา วางอีกด้านหนึ่งของกะทะเพื่อย่าง คิดว่าไฟของเตาย่างด้านนี้คงจะร้อนกว่า เมื่อโมจิโดนความร้อนส่งกลิ่นหอม และทำให้ถั่วแดงที่สอดไส้อยู่ก็ทะลักออกมา ดูคล้ายๆขนมไส้ลาวาเลย ^^



ระหว่างที่รอ เราก็ดูว่าที่ร้านมีอะไรขายอีกบ้าง และคนข้างๆก็ชวนให้ชิมวาราบิโมจิที่เขาวางขาย พร้อมกับมีที่ให้ชิม ซึ่งระหว่างที่คนข้างๆที่ติดใจในรสชาติกำลังคิดไปคิดมาว่าจะซื้อดีไหมนะ จะกล่องเล็ก หรือใหญ่ดีนะ (เพราะวาราบิโมจิเก็บได้ไม่นาน ต้องรีบทานให้หมด) ก็มีกลุ่มสาวญี่ปุ่น 3-4 คนมาชิมด้วย และเขาก็หยิบซื้อไปแทบจะเหมาหมดเลยทีเดียว ส่งผลให้คนข้างๆตัดสินใจได้ทันที เพราะถ้าขืนหยิบช้าอีกนิดคงอดแน่ๆเลย ^^ 

โมจิย่างร้อนๆเสร็จแล้ว เราก็จ่ายตังค์แล้วชิมกันตรงนั้นเลย รสชาติโมจินุ่มเหนียวพอเหมาะ ไม่หวานมากนัก ขนมร้อนๆรสชาติอร่อยเข้ากับอากาศเย็นๆในตอนนั้นมากทีเดียว ^^




แต่พระเอกของบทความนี้ คือ ขนมวาราบิ โมจิ ที่เราได้ซื้อติดมือกลับมา เป็นวาราบิ โมจิ รสชาติแปลกที่อร่อยมากๆ ขนาดเราไม่ได้เป็นคนชอบทานขนมแนวนี้มากนักยังรู้สึกว่าอร่อยดี ส่วนคนข้างๆที่ชอบกินวาราบิโมจิมากๆ ติดใจขนาดที่ว่าจะกลับมาที่Tenjinbashi เพื่อซื้อกลับกรุงเทพกันเลยทีเดียว แต่เวลาก็ไม่อำนวยให้กลับไปอีกครั้ง 


วาราบิ โมจิกล่องนี้มีรสหอมๆของอะไรบางอย่าง คล้ายๆงาดำแต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว วาราบิ โมจิที่มักพบเจอคือ ถ้าเนื้อขนมไม่อ่อนนุ่มเกินไป ก็แข็งเกินไป แต่เจ้าวาราบิ โมจิกล่องนี้ รสสัมผัสนุ่มกำลังดี เหนียวหนึบกำลังดี รสไม่หวานมาก มีกลิ่นหอมอ่อนๆด้วย 

คนข้างๆบ่นคิดถึงขนมกล่องนี้ เสียดายที่ไม่ได้ซื้อติดมือกลับมา จำได้ว่าถ่ายรูปกล่องเก็บไว้ จะว่าไปก็หลายมุมอยู่ ^^ ก็เลยเปิดไฟล์รูปดู แล้วพบว่ามีชื่อและที่ติดต่อบนกล่องด้วย จึงไปค้นข้อมูลก็พบว่า มีร้านที่นำวาราบิ โมจิแบบนี้ขาย และมีร้านในตึกSky Build.ด้วย เอ๊ะหรือว่า... นึกถึงร้านขายโมจิที่อยู่ชั้นใต้ดินSky Build. ข้างๆโรงแรมที่พักขึ้นมาทันที สงสัยว่าจะใช่ คือ จริงๆร้านนี้เขาก็มีให้ชิม และตอนนั้นชิมแล้วกลับไม่ได้รู้สึกประทับใจกันมากมาย (แต่เป็นครั้งที่ไปตอนปีก่อน ซึ่งเป็นทริปก่อนทริปนี้) เป็นวันแรกลงเครื่อง เอากระเป๋าไปฝากแล้วก็เดินหาอะไรกินกัน ยังเบลอๆกันอยู่เลยตอนนั้น ^^" หรืออาจจะมีวาราบิ โมจิหลายแบบหลายรสหรือเปล่านะ คราวหน้าถ้ามีโอกาสคงได้ลิ้มลองกันอีกที ถ้าร้านนี้มีขายก็คงจะตลกดีแต่ก็ดีนะเพราะอยู่ใกล้ๆที่พักมากเลย ถ้าเขาไม่เลิกขายซะก่อนนะ ^^ 








วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

นุ่มละมุน

ไปญี่ปุ่นต้องกินเต้าหู้... ^^



ฟองเต้าหู้สดที่หอบหิ้วจากตลาดในเมืองKanazawa ในวันที่ต้องอำลาจากมา... นั่งรถไฟ 2.40 ชม. มาถึงOsaka และทันทีที่ถึงที่พัก ก็เอาเข้าตู้เย็น คนขายบอกว่าสามารถเก็บได้ 2-3 วัน และช่วงที่ไปอากาศหนาวเย็นสุดๆก็เลยหิ้วกลับมาได้เลยสบายมาก ^^ 

เก็บไว้จนวันที่ 2 นึกได้เลยเอาออกมาหม่ำเป็นอาหารเช้าซะเลย ^^
ในกล่อง มีฟองเต้าหู้สดๆถูกอัดแน่นเป็นชั้นหนาๆ 2 ชิ้นโตๆ



จัดการหยิบใส่ถ้วยชาของโรงแรมที่พัก จะได้ดูหรูหราน่าอร่อยยิ่งขึ้น 



รสสัมผัสที่ละมุนนุ่มลิ้น เพียงแค่เติมโซวยุนิดหน่อยก็จะยิ่งดึงรสหวานของฟองเต้าหูสดนี้ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก...

บอกคำเดียวเลยว่า " อร่อย "  รสหวานอย่างธรรมชาติจากฟองเต้าหู้สดๆให้ความสดชื่นมาก ^^

มาญี่ปุ่นต้องอย่าลืมเมนูเพื่อสุขภาพอย่างเต้าหู้, ฟองเต้าหูสด หรือน้ำเต้าหู้ อะไรที่ทำเป็นเต้าหู้ที่ญี่ปุ่นนั้นทำได้หอม และหวานธรรมชาติจริงๆ ^^

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

เกาลัดในขนมญี่ปุ่น

แต่ก่อนที่จะมาติดใจเกาลัดในขนมญี่ปุ่นนั้น

ไม่เคยชอบขนมญี่ปุ่นมาก่อนเลย... เพราะรู้สึกว่า หวานเกินไป
แถมเห็นดีเห็นงามกับข้อความล้อเลียนขนมญี่ปุ่นว่า เป็นขนมที่มีแป้งห่อถั่ว หรือถั่วห่อแป้งก็เท่านั้นเอง
หน้าตาดูสวย แพจเกจงดงาม แต่ไม่ค่อยอร่อย... แต่ครั้งพอเติบโตขึ้น และยังกลายเป็นคนแฟนคนรักเมืองญี่ปุ่นหลังจากที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นเพียงแค่ครั้งแรกเท่านั้น ก็หลงรักความเป็นญี่ปุ่นแบบไม่รู้ตัว...

และเมื่อรักแล้ว ก็เริ่มใส่ใจสังเกตุในความเป็นญี่ปุ่น ว่า แม้ขนมจะเป็นตามที่เขาล้อกัน แต่ว่า แต่ละร้านก็สามารถออกแบบ และทำขนมให้มีรสชาติที่แตกต่างกันไปได้มากมาย ทั้งๆที่วัตถุดิบหลักก็คล้ายๆกัน แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ที่น่าชื่นชม เพราะความสามารถในการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะขนมของแต่ละร้าน แต่ละเมืองของญี่ปุ่นนั้นยอดเยี่ยมเหลือเกิน


ครั้งแรกที่ได้ชิมเกาลัดถูกห่อหุ้มด้วยแป้งโมจิ ส่วนตัวไม่ค่อยชอบขนมที่มีสัมผัสเหนียวๆหยุ่นๆนัก แต่ติดใจในความหอม หวาน และเนื้อเนียนนุ่มของเกาลัดเชื่อมทั้งลูกที่อยู่ในขนมโมจินั้นมาก
และค้นพบว่า ขนมโดรายากิ ก็เป็นหนึ่งในขนมที่มักใช้เกาลัดเป็นไส้ขนมอยู่ภายใน มีทั้งแบบทั้งลูก แบบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และแป้งขนมนั้นก็ถูกใจมากกว่า

เกาลัด คือ สิ่งที่ถูกห่อหุ้มไว้ข้างใน เกาลัดเชื่อมมีสีเหลือง เนื้อนุ่มคล้ายมันเทศเนื้อหวานมัน

ขนมที่มีเกาลัด มักเป็นขนมที่มีราคาสูงกว่าปกติ ด้วยว่าเกาลัดเป็นตัวแทนแห่งฤดูกาล และมีราคาค่างวดในตัว ไม่ต่างจากขนมถั่วแดงที่อัดเป็นแท่ง ที่มักเป็นของฝากที่บ่งบอกถึงความตั้งใจของผู้ให้ว่าใส่ใจ และเลือกซื้อขนมแสนหวานนี้เป็นของกำนัน

บางช่วงเวลาที่มิใช้ฤดูกาลผลิตของเกาลัด แทบจะหาซื้อมาลิ้มลองไม่ได้เลยทีเดียว ดังนั้นช่วงปลายหนาวเริ่มเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิ จึงเป็นแดนสววรรค์ของเรา เพราะมีขนมไส้เกาลัดให้เลือกหามากกว่าช่วงฤดูกาลอื่นๆ

ไปKanazawa วันแรกก็เจอหิมะตกจนต้องเลื่อนโปรแกรมเที่ยวไปวันรุ่งขึ้น แต่ยังดีที่โรงแรมที่พักอยู่ใกล้สถานีรถไฟ ซึ่งมีร้านค้ามาวางขายขนมของฝากของเมืองนี้กันอย่างละลานตา เดินดูแล้วเลือกกันไม่ถูกทีเดียว แต่พอมาเห็นขนมชิ้นนี้เข้าก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก รีบคว้าซื้อมาลิ้มลองทันที 

ก็ใครที่เป็นแฟนรักเกาลัดญี่ปุ่นจะอดใจไหวกับขนมขนาดกำลังดีที่ห่อด้วยแป้งเครปเนื้อเหนียวนุ่มบางๆ มีถั่วแดง และเกาลัดลูกโตๆ ซ่อนอยู่ในภายในได้แบบนี้ แถมมีแผ่นสาหร่ายทะเลอีก เอาความเค็มมาตัดความหวานของขนมหรือเปล่านะ ^^



ลองกัดคำโตๆ สักคำดูซิ ^^



รสหวานกำลังเหมาะ และเกาลัดก็เชื่อมได้เนื้อเนียนนุ่มตลอดทั้งลูกเลยทีเดียว และก่อนกลับก็ซื้อติดกลับมาฝากแม่ด้วย เพราะแม่ก็ชอบเกาลัดมากเช่นกัน ^^